Contents

ค่าลดหย่อน Easy E-Receipt 2.0 (ปี 2568) (รอประกาศเป็นกฎหมาย)

โดย ผศ.ดร.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ อาจารย์ประจำวิชากฎหมายภาษีอากร

ค่าลดหย่อน Easy E-Receipt 2.0 (ปี 2568) หรือที่เรียกเต็มๆ ว่า “ค่าซื้อสินค้าหรือบริการในประเทศ” ใช้เป็น ค่าลดหย่อน ได้สำหรับค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการ ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568 ตามจำนวนที่จ่ายจริง (รวม VAT แล้ว) แต่สูงสุดไม่เกิน ฿50,000 เฉพาะการซื้อสินค้าหรือบริการที่มีใบกำกับภาษีและใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) หรือใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) จากระบบของกรมสรรพากร (รอประกาศเป็นกฎหมาย)


สิทธิประโยชน์ที่ได้รับ

ผู้ที่จ่ายเงินสำหรับค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการสามารถใช้เป็น ค่าลดหย่อน ได้ตามที่จ่ายจริงสูงสุดปีละไม่เกิน ฿50,000 (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) เฉพาะการซื้อสินค้าหรือบริการที่มีใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) หรือใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) จากระบบของกรมสรรพากร (รอประกาศเป็นกฎหมาย) หากซื้อสินค้า/บริการแล้วได้รับส่วนลด ให้ลดหย่อนได้ตามราคาที่จ่ายจริงหลังหักส่วนลดแล้ว

โดยวงเงินลดหย่อนแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่

  • วงเงินส่วนแรก ฿30,000 สำหรับค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการที่จ่ายให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยต้องมีใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice) แบบเต็มรูปเป็นหลักฐาน หรือผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการที่ไม่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยต้องมีใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) เป็นหลักฐาน
  • วงเงินส่วนที่สอง เพิ่มอีก ฿20,000 หากซื้อสินค้าและบริการจาก OTOP วิสาหกิจชุมชน หรือวิสาหกิจเพื่อสังคม โดยต้องมี e-Tax Invoice แบบเต็มรูป หรือ e-Receipt เป็นหลักฐาน ดังนี้
    • ค่าซื้อสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ซึ่งเป็นสินค้าที่ได้ลงทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชนแล้ว
    • ค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการที่จ่ายให้แก่วิสาหกิจชุมชน ที่ได้จดทะเบียนต่อกรมส่งเสริมการเกษตร
    • ค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการที่จ่ายให้แก่วิสาหกิจเพื่อสังคม ที่ได้จดทะเบียนต่อสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม

ตัวอย่าง

  1. ซื้อสินค้า/บริการทั่วไป จำนวน ฿25,000 โดยได้รับ e-Tax Invoice แบบเต็มรูป หรือ e-Receipt จะสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ ฿25,000 เนื่องจากยังไม่เกินวงเงิน 30,000 บาทส่วนแรก
  2. ซื้อสินค้า OTOP จำนวน ฿50,000 โดยได้รับ e-Tax Invoice แบบเต็มรูป หรือ e-Receipt จะสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ ฿50,000 ทั้งจำนวน ซึ่งเป็นการใช้สิทธิจากทั้งวงเงินส่วนแรก ฿30,000 และส่วนที่สองอีก ฿20,000 รวมกัน
  3. ซื้อสินค้า/บริการทั่วไป จำนวน ฿50,000 โดยได้รับ e-Tax Invoice แบบเต็มรูป หรือ e-Receipt จะสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้เพียง ฿30,000 เฉพาะวงเงินส่วนแรกเท่านั้น
  4. ซื้อสินค้า/บริการทั่วไป จำนวน ฿40,000 และ สินค้า OTOP จำนวน ฿10,000 โดยได้รับ e-Tax Invoice แบบเต็มรูป หรือ e-Receipt จะสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้เพียง ฿40,000 โดยแบ่งเป็นสิทธิลดหย่อนจากสินค้า/บริการทั่วไป จำนวน ฿30,000  (วงเงินส่วนแรก) และค่าซื้อสินค้า OTOP อีก ฿10,000 (วงเงินส่วนที่สอง)

ทั้งนี้ คุณสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบการที่สามารถออกใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร etax.rd.go.th

ในกรณีสามีและภริยาต่างฝ่ายต่างมีรายได้ ต่างฝ่ายสามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้สูงสุดคนละ ฿50,000 (รอประกาศเป็นกฎหมาย)

ทั้งนี้ ถ้ามีค่าซื้อสินค้าหลายรายการ คุณสามารถรวมค่าซื้อสินค้าย่อยๆ ทุกจำนวนมาหักลดหย่อนได้แต่เมื่อรวมแล้วจะนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน ฿50,000

เงื่อนไขการรับสิทธิ

คุณเองก็มีสิทธิหักลดหย่อนค่าลดหย่อน Easy E-Receipt 2.0 สูงสุด ฿50,000 ได้ถ้าทำตามเงื่อนไขทั้งหมดต่อไปนี้

  • เป็นการซื้อสินค้าหรือบริการที่เกิดขึ้นระหว่าง 16 มกราคม – 28 กุมภาพันธ์ 2568
  • เป็นสินค้าหรือบริการที่ได้รับหลักฐานเป็นใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์

อนึ่ง แม้เป็นบุคคลต่างชาติ แต่ถ้าต้องยื่นภาษีในไทยก็สามารถใช้สิทธิลดหย่อน Easy E-Receipt ได้

สินค้าและบริการที่ลดหย่อนภาษีได้

1. สินค้าและบริการที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

โดยปกติสินค้าและบริการที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มจะมีใบกำกับภาษีออกมาพร้อมกันด้วย ซึ่งการใช้สิทธิลดหย่อน Easy E-Receipt 2.0 จะต้องใช้ใบกำกับภาษีแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ที่ปรากฏชื่อและข้อมูลผู้ซื้อด้วยเท่านั้น (รอประกาศเป็นกฎหมาย) (ไม่สามารถใช้ใบกำกับภาษีแบบกระดาษได้)

ตัวอย่างสินค้าหรือบริการที่ลดหย่อน Easy E-Receipt 2.0 ได้ เช่น คอมพิวเตอร์ เสื้อผ้าแบรนด์เนม ของใช้ในบ้าน เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น

2. สินค้าและบริการที่ไม่ได้เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (non-VAT) บางรายการ

ค่าซื้อสินค้าหรือบริการที่ไม่ได้เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม มีเพียงบางรายการที่สามารถใช้ลดหย่อนภาษีในโครงการ Easy E-Receipt 2.0 ได้ ได้แก่ หนังสือ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร และ E-Book เท่านั้น

ทั้งนี้ ต้องใช้ใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-Receipt) ที่ปรากฏชื่อและข้อมูลผู้ซื้อด้วยเท่านั้น (รอประกาศเป็นกฎหมาย) (ไม่สามารถใช้ใบเสร็จรับเงินแบบกระดาษได้)

ดังนั้น หากเป็นการซื้อสินค้าที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น ทองคำแท่ง, บัตร Gift Voucher หรือ จ่ายค่าบริการที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น ค่ารักษาพยาบาลหรือค่าทำศัลยกรรม จะไม่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้

3. สินค้า OTOP หรือสินค้า/บริการจากวิสาหกิจชุมชนและวิสาหกิจเพื่อสังคม

สินค้า OTOP หรือสินค้า/บริการจากวิสาหกิจชุมชนและวิสาหกิจเพื่อสังคม ที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีในโครงการ Easy E-Receipt 2.0 ได้จะเป็นสินค้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ก็ได้ แต่ต้องมีใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (E-Tax Invoice) หรือใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-Receipt) ตามมาตรฐานของกรมสรรพากร และสินค้า/บริการดังกล่าวจะต้องเข้าหลักเกณฑ์การลงทะเบียนหรือจดทะเบียนต่อไปนี้แล้วเท่านั้น

  • ค่าซื้อสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ซึ่งเป็นสินค้าที่ได้ลงทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชนแล้ว
  • ค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการที่จ่ายให้แก่วิสาหกิจชุมชน ที่ได้จดทะเบียนต่อกรมส่งเสริมการเกษตร
  • ค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการที่จ่ายให้แก่วิสาหกิจเพื่อสังคม ที่ได้จดทะเบียนต่อสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม

สินค้าและบริการที่ไม่ได้รับสิทธิลดหย่อน

สินค้าและบริการต่อไปนี้ไม่อยู่ในเกณฑ์ได้รับสิทธิลดหย่อน Easy Receipt 2.0 แม้ผู้ประกอบการจะสามารถออก E-tax invoice หรือ E-receipt ได้ก็ตาม (รอประกาศเป็นกฎหมาย)

  1. ค่าซื้อสุรา เบียร์ และไวน์
  2. ค่าซื้อยาสูบ
  3. ค่าซื้อน้ำมัน ค่าซื้อก๊าซ และค่าบริการอัดประจุไฟฟ้าสำหรับเติมยานพาหนะ
  4. ค่าซื้อรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ (รถจักรยานยนต์ รวมถึงรถจักรยานที่ติดเครื่องยนต์) และค่าซื้อเรือ
  5. ค่าสาธารณูปโภค ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าบริการสัญญาณโทรศัพท์ และค่าบริการสัญญาณอินเทอร์เน็ต    
  6. ค่าบริการที่มีข้อตกลงการให้บริการและผู้รับบริการสามารถใช้บริการดังกล่าวนอกเหนือจากระยะเวลาของมาตรการ กล่าวคือ เริ่มต้นก่อนวันที่ 16 มกราคม 2568 หรือสิ้นสุดหลัง 28 กุมภาพันธ์ 2568 แม้ว่าจะจ่ายค่าบริการระหว่างวันที่ 16 มกราคม – 28 กุมภาพันธ์ 2568 ก็ตาม
  7. ค่าเบี้ยประกันวินาศภัย
  8. ค่าบริการจัดนำเที่ยวที่จ่ายให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว และค่าที่พักโรงแรม ค่าที่พักโฮมสเตย์ไทย หรือค่าที่พักในสถานที่พักที่ไม่เป็นโรงแรม

นอกจากนี้ สินค้าและบริการต่อไปนี้ก็ไม่เข้าเกณฑ์ใช้สิทธิลดหย่อน Easy E-Receipt ได้เนื่องจากเป็นสินค้าและบริการไม่อยู่ในกลุ่มที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม

  • ทองคำแท่ง
  • ค่ารักษาพยาบาล
  • ค่าทำศัลยกรรม
  • ผักผลไม้สด
  • เนื้อสัตว์สด
  • หน้ากากอนามัย อุปกรณ์ทางการแพทย์
  • บัตรของขวัญ (Gift Voucher) ที่ซื้อจากห้างสรรพสินค้า

ข้อสังเกตเกี่ยวกับสินค้าและบริการที่ใช้สิทธิลดหย่อน ‘Easy E-Receipt’ ได้

  1. หากร้านค้านั้นจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว แม้จะขายในรูปแบบบริการอย่างเดียว หากบริการนั้นเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น สปา คาราโอเกะ อาบอบนวด ก็สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้
  2. ค่าที่พักในโรงแรมไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้ แต่ค่าอาหารและเครื่องดื่มในโรงแรม (ไม่รวมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์) ยังสามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้
  3. ค่าธรรมเนียมเทรดหุ้น และค่าธรรมเนียมซื้อกองทุนรวม (Front-end fee) สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ แต่ค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุนรวม (Management fee) ลดหย่อนภาษีไม่ได้
  4. ค่าซื้อทองรูปพรรณ สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้เฉพาะส่วนที่เป็นค่ากำเหน็จหรือบริการที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น ตัวทองคำเองไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้
  5. ยารักษาโรค อาหารเสริม ที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ แต่ค่าบริการทางแพทย์ เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าทำศัลยกรรม โดยปกติจะไม่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม จึงไม่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้
  6. ค่าซื้อบัตรเพื่อแลกรับบริการ และนำบัตรไปใช้บริการในช่วงวันที่ 16 มกราคม – 28 กุมภาพันธ์ 2568 หรือ ค่าบริการเช่ารถยนต์ ค่าซ่อมรถ/เปลี่ยนยางรถยนต์ที่รับบริการและแล้วเสร็จในช่วงวันที่ 16 มกราคม – 28 กุมภาพันธ์ 2568 สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้ แต่ถ้ารับบริการก่อนหรือหลังช่วงเวลาดังกล่าวจะไม่สามารถลดหย่อนได้
  7. อุปกรณ์ไอที เครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ สมาร์ตโฟน เช่น iPhone, iPad, MacBook ไม่ว่าจะซื้อราคาเต็ม หรือซื้อจาก Outlet ก็สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้
  8. สินค้าที่ซื้อจากร้าน Duty Free หากเป็นสินค้าที่ออก e-Tax invoice ได้ก็สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้
  9. รายการที่ซื้อจะสะสมหลายใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีหลายใบ หรืออยู่ในใบเดียวกันก็ได้ แต่ถ้ายอดซื้อเกิน 50,000 บาท (รวม VAT แล้ว) จะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้สูงสุด 50,000 บาท
  10. การซื้อของออนไลน์ เช่น ซื้อผ่าน Shopee, Lazada, TikTok Shop หรือร้านค้าออนไลน์ต่างๆ จะสามารถลดหย่อนภาษีได้ ถ้าซื้อจากร้านที่ออกใบกำกับภาษีได้ โปรดตรวจสอบกับผู้ขายให้ชัดเจนเพื่อไม่ให้เสียสิทธิ
  11. ในกรณีที่รายการสินค้ามีทั้งเสีย VAT และไม่เสีย VAT อยู่ในใบกำกับภาษีเดียวกัน คุณจะได้สิทธิลดหย่อนเฉพาะสินค้าที่เสีย VAT เท่านั้น เช่น ถ้าซื้อทั้งนมช็อกโกแลต (เสีย VAT) และนมจืด (ไม่เสีย VAT) จะได้สิทธิลดหย่อนเฉพาะนมช็อกโกแลต (เสีย VAT) เท่านั้น
  12. การซื้อสินค้าและบริการจะจ่ายด้วยเงินสด พร้อมเพย์ บัตรเดบิต หรือบัตรเครดิตก็ได้ขอให้ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีลงวันที่ภายใน 16 มกราคม – 28 กุมภาพันธ์ 2568 และมีรายละเอียดครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด
  13. ค่าซ่อมรถ สามารถนำมาหักลดหย่อน Easy E-Receipt ได้ หากเป็นการซ่อมและจ่ายค่าซ่อมระหว่างวันที่ 16 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 และผู้ประกอบการสามารถออก e-Tax Invoice ได้
  14. การซื้อทองรูปพรรณ สามารถนำมาหักลดหย่อน Easy E-Receipt ได้เฉพาะค่ากำเหน็จ (ตามมูลค่าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม) และผู้ประกอบการต้องสามารถออก e-Tax Invoice ได้ด้วย

หลักฐานที่ต้องใช้

  • ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปเฉพาะแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ที่ระบุข้อมูลผู้ขาย และระบุชื่อ นามสกุล และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของคุณ (เลขบัตรประชาชน 13 หลัก) รวมถึงวันที่ รายการและจำนวนเงินด้วย หรือ
  • ใบเสร็จรับเงินเฉพาะแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ที่ระบุข้อมูลผู้ขาย และระบุชื่อ นามสกุล และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของคุณ (เลขบัตรประชาชน 13 หลัก) รวมถึงวันที่ รายการและจำนวนเงินด้วย

ทั้งนี้ การระบุชื่อที่อยู่ของผู้ซื้อในใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษี จะระบุตามที่อยู่ตามบัตรประชาชนหรือที่อยู่ปัจจุบันก็ได้ แต่ถึงแม้จะระบุที่อยู่ไม่ถูกต้องก็ยังสามารถใช้หักลดหย่อนได้อยู่ดี หากใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีนั้นมีข้อความอื่นๆ ครบถ้วนถูกต้องแล้ว

ใบเสร็จรับเงินที่ใช้ลดหย่อนภาษีได้ (กรณีซื้อสินค้าจากผู้ขายที่ไม่ได้จด VAT)

หากคุณซื้อสินค้าจากผู้ขายที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี Easy E-Receipt ใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-Receipt) ต้องมีข้อความครบถ้วนตามนี้

  • เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ขาย
  • ชื่อหรือยี่ห้อของผู้ขาย
  • เลขลำดับของเล่มและใบเสร็จรับเงิน
  • วันเดือนปีที่ออกใบเสร็จรับเงิน
  • ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ซื้อ
  • ชนิด ชื่อ จำนวน และราคาสินค้าที่ซื้อ
  • จำนวนเงิน

ช่องทางตรวจสอบว่าผู้ประกอบการสามารถออกใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ได้

เนื่องจากปัจจุบัน กรมสรรพากรมีระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ 2 แบบ ได้แก่ ระบบ e-Tax invoice & e-Receipt และระบบ e-Tax invoice by Time Stamp ดังนั้น คุณจึงมีช่องทางตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบการฯ 2 ช่องทาง ดังนี้

  1. ผู้ประกอบการ e-Tax invoice & e-Receipt – https://etax.rd.go.th/etax_staticpage/app/#/index/registered%23top
  2. ผู้ประกอบการ e-Tax invoice by Time Stamp – https://interapp3.rd.go.th/signed_inter/publish/register.php

เรื่องที่มักเข้าใจผิดบ่อย

  • หลายคนเข้าใจผิดว่า ค่าลดหย่อน Easy E-Receipt 2.0 สามารถขอรับเป็นเงินสดคืนได้ที่ร้านค้าเลย ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เพราะการขอใช้สิทธิลดหย่อน Easy E-Receipt จะต้องทำโดยการ ยื่นภาษีประจำปี 2568 ให้ กรมสรรพากรในช่วงต้นปี 2569 ได้เพียงวิธีเดียวเท่านั้น
  • หลายคนเข้าใจผิดว่า ค่าลดหย่อน Easy E-Receipt 2.0 ฿50,000 คือ เงินคืนภาษีจาก ภาษีมูลค่าเพิ่ม7% (VAT 7% Refund) ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เพราะค่าลดหย่อน Easy E-Receipt 2.0 ฿50,000 นี้เป็นสิทธิที่นำไปใช้เป็นค่าลดหย่อนสำหรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
  • หลายคนเข้าใจผิดว่า ค่าลดหย่อน Easy E-Receipt 2.0 ต้องใช้ค่าสินค้าหรือบริการก่อนเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ความจริงแล้วสิทธิลดหย่อนจะเป็นตัวเลขค่าสินค้า/บริการที่รวม VAT แล้ว
  • ถ้าคุณมีรายได้เฉลี่ยเดือนละไม่เกิน ฿25,833.33 (หรือเงินได้สุทธิทั้งปีไม่เกิน ฿150,000) คุณไม่ต้องเสียเวลาต่อคิวเพื่อขอใบเสร็จรับเงินหรือใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปก็ได้ เพราะคุณอยู่ในเกณฑ์ได้รับยกเว้นภาษีอยู่แล้ว ต่อให้ใช้สิทธิลดหย่อนEasy E-Receipt ก็ไม่ช่วยให้ประหยัดภาษีเพิ่มขึ้น
  • ถ้ามีคุณมีคู่สมรสที่ต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ คุณทั้งคู่ก็สามารถใช้สิทธิลดหย่อน Easy E-Receipt 2.0 ได้สูงสุดคนละ ฿50,000 (รวม 2 คนได้สิทธิ ฿100,000) ไม่ว่าจะแยกยื่นภาษีหรือยื่นภาษีร่วมกันก็ตาม
  • ถ้าในใบเสร็จรับเงินหรือใบกำกับภาษีเดียวกันมีรายการทั้งสินค้าที่เข้าเกณฑ์และไม่เข้าเกณฑ์ลดหย่อน คุณจะได้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีเฉพาะค่าสินค้าเข้าเกณฑ์ลดหย่อนเท่านั้น
  • หากไม่มั่นใจว่าให้ระบุที่อยู่ผู้ซื้อตามบัตรประชาชนหรือที่อยู่ปัจจุบันดี จะใช้ที่อยู่ใดก็ได้ไม่มีปัญหา แต่ถึงแม้ในใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีจะเขียนชื่อหรือที่อยู่ผู้ซื้อสินค้าผิดหรือมีการแก้ไขสามารถ ก็ยังสามารถใช้หักลดหย่อนได้อยู่ หากใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีนั้นมีข้อความเกี่ยวกับผู้ขาย รายละเอียดสินค้าหรือบริการ และองค์ประกอบอื่นๆ ครบถ้วนแล้ว
  • หลายคนเข้าใจผิดว่า ค่าลดหย่อน Easy E-Receipt 2.0 ฿50,000 คือ เงินคืนภาษีจากรัฐ ฿50,000 เลย ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เพราะจะได้เงินคืนภาษีเพิ่มมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจำนวน เงินได้ และ อัตราภาษี ของแต่ละคนด้วย
เงินได้สุทธิ อัตราภาษี สิทธิได้เงินคืนภาษีสูงสุด
≤฿150,000 ยกเว้น ฿0
>฿150,000 – ฿300,000 5% ฿2,500
>฿300,000 – ฿500,000 10% ฿5,000
>฿500,000 – ฿750,000 15%  ฿7,500
>฿750,000 – ฿1,000,000 20% ฿10,000
>฿1,000,000 – ฿2,000,000 25% ฿12,500
>฿2,000,000 – ฿5,000,000 30% ฿15,000
>฿5,000,000 35% ฿17,500

เช็กสิทธิประโยชน์ เงื่อนไขการรับสิทธิ์ Easy E-Receipt 2.0 ลดหย่อนภาษีแล้ว อย่าลืมคำนวณเงินที่จะใช้เพื่อการช้อปปิ้งและเงินที่จะได้จากการลดหย่อนภาษีให้ดี หรือหากคุณรู้สึกว่า มาตรการ Easy E-Receipt ยังไม่ตอบโจทย์ความต้องการลดหย่อนภาษีของคุณ

คุณสามารถค้นหาตัวช่วยลดหย่อนภาษีอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่ iTAX shop

แอป iTAX คำนวณภาษีและวางแผนภาษี

ตัวช่วยคำนวณภาษีเพื่อเงินคืนภาษีสูงสุด โหลดฟรี!