ถ้าจะพูดถึงการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ การจด VAT คนทำธุรกิจหลายคนน่าจะคุ้นเคยกับสิ่งนี้ดี แต่สำหรับนักธุรกิจมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจ และยังไม่แน่ใจว่า ธุรกิจของเราต้องทำการจดภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ วันนี้ iTAX จะมาบอก ข้อดีและข้อเสียของการจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด VAT) มาดูกันดีกว่าว่า แท้จริงแล้ว การจดภาษีมูลค่าเพิ่ม มีผลดีต่อธุรกิจของเรามากน้อยแค่ไหน
ว่าด้วยเรื่อง ข้อดีของการจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด VAT)
1. จด VAT ขอคืนภาษีซื้อได้
ไม่ว่าของที่คุณซื้อนั้นจะเป็นการการซื้อของใช้ในอุปกรณ์สำนักงาน (ของที่ซื้อมาเพื่อใช้ทำงาน) และ ของที่ซื้อมาขาย คุณก็สามารถนำมาขอคืนภาษีซื้อได้ (ในกรณีที่ของชิ้นนั้นมี VAT) นั่นหมายความว่า ต้นทุนของสินค้าของคุณจะถูกลง จากการ ขอคืนภาษีซื้อ นั่นเอง
2. การจัดการบัญชีที่เป็นระบบมากขึ้น
เพราะคุณจะต้องทำบัญชีรายงานภาษีซื้อ – ขายทุกเดือน และเก็บรายงานนี้ไว้เผื่อให้เจ้าหน้าที่สรรพากรมาตรวจ ทำให้คุณจะต้องลงบัญชีการซื้อ – ขายสินค้าอย่างเป็นระบบ ซึ่งการทำบัญชีอย่างเป็นระบบจะทำให้คุณสามารถตรวจสอบความถูกต้องของการทำธุรกิจและพบความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับบัญชีธุรกิจง่ายขึ้นด้วย
3. เพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจ
ลูกค้าหรือคู่ค้าของคุณจำนวนมากมักจะขอ ใบกำกับภาษี ทุกครั้งที่ทำการซื้อขายสินค้าและบริการ เพราะต้องการนำไปใช้ประโยชน์เป็นภาษีซื้อเพื่อลดภาระภาษีของฝ่ายลูกค้าเอง นั่นหมายความว่า หากคุณไม่ได้ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ อาจจะทำให้คุณพลาดโอกาสในการทำธุรกิจไปก็ได้
4. กิจการมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
ปฎิเสธไม่ได้ว่า การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด VAT) ทำให้ธุรกิจของคุณมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น เพราะการจด VAT นั้นเหมือนเป็นการการันตีว่า ธุรกิจของคุณนั้นเป็นธุรกิจที่เชื่อถือได้ มีตัวตนอยู่จริง เพราะได้รับการตรวจสอบจากกรมสรรพากรเรียบร้อยแล้ว
ว่าด้วยเรื่อง ข้อเสียของการจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด VAT)
1. ต้องยื่นรายงานภาษีซื้อ – ภาษีขาย ทุกเดือน
หากคุณทำการจดภาษีมูลค่าเพิ่ม คุณจะต้องยื่นแบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภพ.30) ทุกวันที่ 15 หรือยื่นผ่านช่องทางออนไลน์ภายในวันที่ 23 ของทุกเดือน ไม่ว่าเดือนนั้นคุณจะมีรายการซื้อ-ขายสินค้าหรือไม่ก็ตาม และหากคุณไม่ได้ยื่นแบบภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือยื่นไม่ตรงเวลา คุณก็มีสิทธิ์ถูกเจ้าหน้าที่สรรพากรคิดค่าปรับได้
2. สินค้ามีราคาแพงขึ้น
ในกรณีที่คุณขายสินค้าให้กับบุคคลธรรมดา สินค้าของคุณอาจจะมีราคาแพงขึ้น เนื่องจากคุณจะต้องคิดภาษีขายเพิ่มขึ้นอีก 7% และถ้าต้นทุนสินค้าของคุณไม่มีภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่แล้ว เช่น ผักสด เนื้อสด เป็นต้น คุณอาจจะไม่ได้รับประโยชน์จากการเข้าระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจากต้นทุนของกิจการไม่มีภาษีซื้ออยู่แล้วจึงไม่ช่วยให้ต้นทุนของคุณต่ำลง กล่าวคือ ต้นทุนเท่าเดิม แต่ราคาขายสูงขึ้น
3. ต้องมีความรู้เรื่องใบกำกับภาษี
ใครที่คิดว่าการจด VAT ยุ่งยากแค่การทำรายงานหรือยื่นแบบภาษีมูลค่าเพิ่ม คุณกำลังคิดผิดอย่างแรง! เพราะเรื่องของใบกำกับภาษีก็สำคัญไม่แพ้กัน คุณจะต้องศึกษาวิธีการและเงื่อนไขการออกใบกำกับภาษีและเงื่อนไขการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีให้ดีและละเอียดที่สุด ไม่อย่างนั้น คุณอาจจะต้องเผชิญกับค่าปรับทางกฎหมายได้
วิธีคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับมือใหม่
สำหรับผู้ประกอบการที่ยื่นจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไป แต่ยังไม่แน่ใจว่า ในฐานะผู้ประกอบการจะต้องเริ่มต้นคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มยังไง สามารถคำนวนได้ง่ายๆ เพียงแค่คุณนำภาษีขายทั้งเดือนมาหักด้วยภาษีซื้อทั้งเดือนภาษี (เดือนที่ผู้ประกอบการต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม อ้างอิงจาก www.rd.go.th) เท่ากับว่า
– ภาษีมูลค่าเพิ่ม = ภาษีขาย – ภาษีซื้อ
– ถ้าภาษีขาย > ภาษีซื้อ = ภาษีมูลค่าเพิ่มที่คุณต้องจ่าย
– ถ้าภาษีขาย < ภาษีซื้อ = ภาษีที่คุณสามารถขอคืนได้ (ขอเครดิตภาษี)
ภาษีขาย คือ
ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการเรียกเก็บจากผู้ซื้อสินค้าหรือบริการ เมื่อมีการขายสินค้าคือรับบริการ
ภาษีซื้อ คือ
ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการจ่ายให้กับผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการ (ที่จดทะเบียน VAT เหมือนกัน) เมื่อทำการซื้อสินค้าหรือจ่ายค่าบริการที่นำมาใช้ในธุรกิจ
ทั้งภาษีและการทำธุรกิจไม่มีอะไรง่าย คุณจึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาเงื่อนไข ข้อดี – ข้อเสีย ของทุกเรื่องอย่างละเอียด เพื่อที่จะได้ดำเนินการได้อย่างถูกต้องและไม่ต้องเผชิญกับปัญหาน่าปวดหัวในอนาคต แต่หากคุณยังไม่แน่ใจว่า ธุรกิจของคุณถึงเวลาจด VAT แล้วหรือยัง? อยากจดทะเบียนบริษัท แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน?
ติดต่อสอบถามค่าบริการ การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 062-486-9787 เรากล้ารับรองว่า คุณจะปวดหัวกับภาษีบริษัท หรือการจดทะเบียนบริษัทน้อยลง และมีเวลาจัดการธุรกิจมากขึ้นแน่นอน!