LTF หรือ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long-Term Equity Fund) เป็นทางเลือกยอดฮิตอีกรายการนึงสำหรับผู้เสียภาษีหลายๆ คน เนื่องจาก สามารถช่วยประหยัดภาษีได้ทั้งตอนซื้อ (ใช้ค่าซื้อเป็น ค่าลดหย่อน ได้) และตอนขาย (ขายถูกเงื่อนไขแม้มีกำไรก็ไม่ต้องเสียภาษี)
วันนี้จึงอยากแชร์ 7 เรื่อง (ลับ) ที่น่าสนใจเกี่ยวกับ LTF ที่หลายๆ คนอาจจะไม่เคยรู้เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจสำหรับการวางแผนภาษีในปี 2560 นี้ ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลย
1. รายได้ที่ไม่ได้เอามายื่นภาษีก็ใช้เป็นฐานคำนวณสิทธิ์ซื้อ LTF ได้
ฐานรายได้ที่ใช้คำนวณสิทธิ์ซื้อ LTF คือรายได้ที่ “ต้องเสียภาษี” ซึ่งรวมถึงรายได้ที่ปล่อยให้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายโดยไม่เอามายื่นภาษีด้วย
คนจำนวนมากที่ซื้อ LTF คงทราบดีอยู่แล้วว่าเพดานการใช้สิทธิ์ซื้อ LTF คือ 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี แต่ไม่เกิน ฿500,000 ประเด็น คือ 15% ที่ว่านี้คำนวณจากฐานอะไรได้บ้าง?
เรื่องนี้กรมสรรพากรได้ชี้แจงแล้วว่า สิทธิ์ซื้อนี้ให้คำนวณจากทั้งรายได้ที่คุณนำไปยื่นภาษีตามปกติ (เช่น เงินเดือน) และรายได้ที่คุณไม่ได้นำมายื่นแต่เลือกปล่อยให้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายแทนด้วย (เช่น ดอกเบี้ยเงินฝาก หุ้นกู้ เงินปันผล)
สมมติว่า
ตลอดทั้งปี 2560 เรามีรายได้จากเงินเดือนรวม ฿1,000,000 และดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารอีก ฿1,000,0000 เพดานสิทธิ์ซื้อ LTF ของเราคือ 15% ของ ฿2,000,000 (ไม่ใช่แค่ 15% ของเงินเดือน ฿1,000,000 เท่านั้น) แม้ว่าเราไม่ได้นำดอกเบี้ยมายื่นภาษีด้วยก็ตาม
2. ซื้อ LTF แล้วไม่ชอบ สลับกองระหว่างช่วง 7 ปีปฏิทินนี้ได้
โดยไม่ต้องเสียภาษี เรื่องนี้เป็นสิทธิ์ที่หลายคนไม่รู้ เพราะเข้าใจผิดมาเสมอว่าซื้อ LTF กองไหนไปแล้วต้องถือยาวววว แต่ในความเป็นจริง คุณมีสิทธิ์เลือกสลับกอง LTF ที่มีอยู่ไปเป็นกอง LTF อื่นที่ชอบมากกว่าได้ (ศัพท์เทคนิคเรียกว่าการ Switch กอง) โดยไม่ต้องทนรอให้ครบ 7 ปีปฏิทินโดยไม่ผิดเงื่อนไขและไม่ต้องเสียภาษีแต่อย่างใด (แต่อาจจะมีค่าธรรมเนียมแล้วแต่นโยบายของแต่ละ บลจ.)
3. 7 ปีปฏิทิน นับจริงก็แค่ 5 ปีเศษๆ เท่านั้น
เกณฑ์ระยะเวลาการถือก่อนขายใหม่สำหรับ LTF ที่ซื้อตั้งแต่ปี 2559 นั้นกฎหมายกำหนดให้ต้องถืออย่างน้อย 7 ปีปฏิทิน ซึ่ง 7 ปีปฏิทินจะไม่ได้นับปีชนปีเหมือนเวลานับวันเกิด แต่จะดูเลขปีตรงๆ เลย
ดังนั้น ถ้าผมซื้อ LTF ตอน 30 ธ.ค. 59 แล้วถือไว้จนถึง 1 ม.ค. 60 แม้จะผ่านมาแค่ 3 วัน แต่กฎหมายให้นับอายุว่าถือมา 2 ปีปฏิทินแล้ว ดังนั้น 7 ปีปฏิทิน เอาเข้าจริงๆ ก็อาจจะแค่ 5 ปีเศษๆ เท่านั้น
4. LTF เหมือนกันแต่ความเสี่ยงไม่เท่ากัน
LTF แปลว่า กองทุนรวมหุ้นระยะยาว แต่ไม่ได้หมายความว่ากองทุนนี้จะลงทุนแต่หุ้น 100% เสมอไป ตามนโยบายการลงทุนของ LTF อาจจะลงทุนในหุ้น 65% ก็ได้ แล้วอีก 35% ก็ไปเลือกลงทุนกับสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ เพื่อให้ความเสี่ยงของ LTF กองนั้นต่ำลง ดังนั้น ต่อให้เป็น LTF เหมือนกัน ความเสี่ยงอาจจะไม่เท่านั้นก็ได้
5. เงินปันผลจาก LTF ไม่ได้รับยกเว้นภาษี
กำไรจากการขาย LTF ได้รับยกเว้นภาษี แต่เงินปันผลจาก LTF ต้องเสียภาษี เมื่อลงทุนในกองทุนรวมหุ้น ผู้ลงทุนย่อมมีโอกาสได้รับเงินปันผลอยู่แล้ว แม้ว่า LTF จะได้รับสิทธิประโยชน์ทั้งตอนซื้อและตอนขาย แต่ระหว่างที่ถืออยู่นี้
หากได้รับเงินปันผลจาก LTF เงินส่วนนี้จะไม่ได้รับยกเว้นภาษีแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าเราอาจจะเลือกให้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายเป็นภาษีสุดท้ายก็ได้ หรือจะนำมายื่นภาษีด้วยก็ได้
และแน่นอนว่าไม่ว่าคุณจะเลือกแบบไหน เงินปันผล LTF จำนวนนี้ก็สามารถนำมาใช้เป็นฐานในการซื้อ LTF ของปีนั้นๆ ได้ เพราะเป็นเงินได้ที่ต้องเสียภาษีอยู่แล้ว (ย้อนกลับไปอ่านข้อ 1 ได้)
6. มี LTF สำหรับผู้นับถือศาสนาอิสลามโดยเฉพาะด้วย
เนื่องจาก การซื้อกองทุนรวมหุ้นคือ การเข้าไปเป็นเจ้าของกิจการ ดังนั้น การซื้อ LTF ก็คือการเข้าไปเป็นเจ้าของกิจการด้วยเช่นกัน ซึ่งการเป็นเจ้าของกิจการบางประเภทนั้นไม่เหมาะสมตามหลักศาสนาอิสลาม
ซึ่งปัจจุบันจึงมีการออก LTF ที่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม (Shariah) สำหรับผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามโดยเฉพาะแล้ว (และผลตอบแทนก็ใช้ได้ด้วย) จึงเป็นอีกทางเลือกนึงสำหรับการลงทุนของผู้นับถือศาสนาอิสลามเพื่อลดหย่อนภาษี
(อยากรู้ว่ามี LTF กองไหนแล้วบ้าง สามารถเข้าไปดูได้ที่ https://shop.itax.in.th แล้วเลือกเมนู LTF/RMF แล้วเลือกช่อง “นับถือศาสนาอิสลาม”)
7. ความจำเป็นต้องซื้อ LTF ปีนี้อาจไม่เท่าปีที่ก่อนๆ
โครงสร้างภาษีใหม่ปี 2560 ช่วยให้หลายคนได้สิทธิ์หัก ค่าใช้จ่าย และ ค่าลดหย่อน เพิ่มขึ้น ช่วยให้เสียภาษีถูกลง ความจำเป็นต้องซื้อ LTF เพื่อลดหย่อนภาษีอาจจะไม่เท่าปีก่อนๆ ดังนั้น ก่อนซื้อควรวางแผนวงเงิน LTF ให้เรียบร้อยก่อน จะได้ไม่เผลอซื้อ LTF เกินสิทธิ์ซึ่งจะนำความวุ่นวายใหม่มาเพิ่มให้ตัวเองโดยไม่จำเป็น ถ้าไม่รู้ว่าปีนี้ตัวเองมีสิทธิซื้อ LTF เท่าไหร่ สามารถทดลองคำนวณภาษีได้ด้วยแอปฯ iTAX โหลดฟรีทั้ง iOS และ Android)
