เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ ประเทศไทยมีมาตรการภาษีเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชน องค์กรธุรกิจ และผู้ประกอบการต่างๆ โดยสรุปมาตรการภาษีสู้โควิด-19 ในประเทศไทย ตาม Timeline ตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 จนถึง พฤษภาคม 2563 ได้ดังนี้
มกราคม 2563
ยังไม่มีมาตรการภาษีเกี่ยวกับ COVID-19 เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนาในประเทศไทยช่วงก่อนหน้านั้นยังไม่มีความรุนแรง
กุมภาพันธ์ 2563
แม้ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ประเทศไทยจะเริ่มมีผู้ติดเชื้อโควิดในระดับที่ต่ำ แต่ภาคการท่องเที่ยวเริ่มได้รับผลกระทบจาก COVID-19 เนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศไม่สามารถเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศได้ จึงทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงไปอย่างมาก
ประเทศไทยจึงเริ่มมีมาตรการภาษีเกี่ยวกับ COVID-19 เป็นครั้งแรกโดยเน้นการส่งเสริมการส่งเสริมการท่องเที่ยวและสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม และมาตรการขยายเวลายื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี ทั้งแบบกระดาษและออนไลน์ออกไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 (ขยายเวลายื่นภาษีครั้งที่ 1) เพื่อส่งเสริมการใช้จ่ายภาคการบริโภค
แต่พอมาถึงช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2563 กรมสรรพากรเริ่มออกมาตรการป้องกันและควบคุมโรคสำหรับเจ้าหน้าที่สรรพากรตามข้อแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข เช่น การเลื่อนและหลีกเลี่ยงการเดินทางไปต่างประเทศ การกำหนดให้เจ้าหน้าที่ที่กลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยงต้องหยุดงานเพื่อเฝ้าระวังและกักตัวเป็นเวลา 14 วัน (Quarantine) และการจัดเตรียมอุปกรณ์ป้องกันและทำความสะอาด รวมถึงการวัดไข้เพื่อคัดกรองก่อนเข้าอาคาร เป็นต้น
มีนาคม 2563
สถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนาในประเทศไทยเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากพบผู้เสียชีวิตรายแรกของประเทศ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม
ไวรัสโคโรนาเริ่มกระจายไปสู่ประชาชนหลายกลุ่ม โดยกลุ่มผู้ติดเชื้อที่ใหญ่ที่สุดในขณะนั้นมาจากการชกมวยไทยเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2563 ที่สนามมวยเวทีลุมพินี จนเป็นเหตุให้ช่วงกลางเดือนมีนาคม ประเทศไทยมีผู้ป่วยโควิดเพิ่มขึ้นเกินวันละ 100 คน จนนำไปสู่มาตรการสั่งปิดสถานประกอบการที่มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสและแพร่เชื้อได้ง่าย (เช่น สถานศึกษา ผับ ร้านนวด สถานบริการ สนามมวย สนามม้า เป็นต้น) รวมถึงการงดจัดกิจกรรมที่รวมตัวคนจำนวนมากด้วย โดยเริ่มจากพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และตามด้วยการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 25 มีนาคม
ในเดือนมีนาคม โรงพยาบาลและมูลนิธิหลายแห่งได้เริ่มประชาสัมพันธ์โครงการรับเงินบริจาคจากประชาชนเพื่อซื้ออุปกรณ์การแพทย์และเครื่องช่วยหายใจของตัวเอง
ขณะเดียวกัน รัฐบาลโดยสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ได้เปิดบัญชีเพื่อรับบริจาคสนับสนุนการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จากประชาชนทั่วไปและผู้ประกอบการนิติบุคคล ที่ต้องการสมทบทุนช่วยเหลือรัฐบาลโดยสามารถนำเงินบริจาคไปลดหย่อนภาษีได้
อนึ่ง วันที่ 28 มีนาคม 2563 เวลา 18.00 น. เป็นวันแรกที่รัฐบาลเปิดเว็บไซต์ เราไม่ทิ้งกัน.com เพื่อให้ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากโควิด-19 และไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม สามารถลงทะเบียนรับเงินชดเชย 5,000 บาท ซึ่งทางกรมสรรพากรได้แถลงข่าวยืนยันว่าจะไม่นำข้อมูลจาก ‘เราไม่ทิ้งกัน’ มาตรวจสอบภาษีอย่างแน่นอน
ด้วยสถานการณ์ที่เริ่มรุนแรงขึ้นในเดือนมีนาคม จึงเป็นช่วงเวลาที่ ครม. มีมติให้กระทรวงการคลังแถลงมาตรการภาษีที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 อย่างจริงจังหลายมาตรการ ได้แก่
- เลื่อนเวลายื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีออกไปอีกเป็นครั้งที่ 2 โดยให้ยื่นได้จนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2563 (จากเดิมที่เคยประกาศขยายให้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ไปแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อเดือนกุมภาพันธ์)
- ยกเว้นภาษีให้สำหรับค่าตอบแทนจากการเสี่ยงภัยของบุคลากร ทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ได้รับตลอดทั้งปี 2563
- เพิ่มวงเงินหักลดหย่อนเบี้ยประกันสุขภาพเป็น 25,000 บาท
- เลื่อนเวลายื่นภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปี (ภ.ง.ด. 50) ออกไปถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2563 และเลื่อนเวลายื่นภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี (ภ.ง.ด. 51) ออกไปถึงวันที่ 30 กันยายน 2563
- เลื่อนเวลายื่นภาษีรายเดือนต่างๆ ให้ ผู้ประกอบการที่ต้องหยุดกิจการตามคำสั่งของทางราชการ และเลื่อนให้ผู้ประกอบการอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 เป็นรายกรณี
- ลดและยกเว้นภาษีและค่าธรรมเนียมให้กลุ่ม Non-bank สำหรับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
มาตรการเหล่านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบมีสภาพคล่องทางการเงินและมีความคล่องตัวในการทางานเพิ่มขึ้น สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ โดยการยืดเวลาชำระภาษีออกไป และหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนให้ทุกคนอยู่ที่บ้านได้ เนื่องจากไม่ต้องเดินทางออกมายื่นภาษี
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการนำเข้ายา เวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์ต้าน COVID-19 สำหรับบริจาคเป็นสาธารณกุศล โดยยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าสินค้าที่ใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรค COVID-19 เช่น ยา เวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์จากต่างประเทศและบริจาคให้แก่สถานพยาบาลของทางราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2563 – 28 กุมภาพันธ์ 2564 ด้วย
เมษายน 2563
เข้าเดือนเมษายน สถานการณ์โควิดในประเทศไทยยังไม่ดีขึ้น วันที่ 3 เมษายน 2563 รัฐบาลเริ่มประกาศเคอร์ฟิวห้ามประชาชนออกนอกบ้านในเวลากลางคืน ระหว่างสี่ทุ่มถึงตีสี่ของทุกวัน และประกาศยกเลิกวันหยุดในช่วงสงกรานต์ รวมถึงการส่งจดหมายเปิดผนึกถึงมหาเศรษฐีในประเทศไทย 20 อันดับแรก เพื่อขอให้ร่วมมือกับรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาโควิด
เมื่อวันที่ 19 เมษายน รัฐบาลประกาศกฎหมายด่วนจำนวน 5 ฉบับ โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการตั้งวงเงินพยุงเศรษฐกิจ 1.9 ล้านล้านบาท และการปรับตัวเพื่อลดผลกระทบจากโควิด-19 ได้แก่
- การกู้เงินเพื่อแก้ปัญหาโควิด
- การให้สินเชื่อช่วยเหลือ SME
- การชะลอการชำระหนี้และดอกเบี้ย
- การขยายเวลาคุ้มครองเงินฝากทั่วไป
- หลักเกณฑ์การประชุมออนไลน์ที่มีผลถูกต้องตามกฎหมาย
- การตั้งกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของตราสารหนี้
ส่วนกรมสรรพากรก็เริ่มใช้มาตรการขยายเวลายื่นแบบและชำระภาษีต่างๆ ตามประกาศกระทรวงการคลังของเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และได้ขยายสิทธิประโยชน์นี้ให้ครอบคลุมถึงกลุ่มผู้ประกอบการทุกราย (ไม่ใช่เฉพาะกิจการที่ถูกสั่งหยุดกิจการตามคำสั่งของทางราชการตามที่เคยประกาศมาก่อนหน้านี้เท่านั้น)
นอกจากนี้รัฐบาลการประกาศใช้มาตรการภาษีอื่นๆ เพิ่มเติมเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน ได้แก่
- เปิดตัวกองทุนลดหย่อนภาษีใหม่ SSFX ใช้ลดหย่อนภาษีได้อีก 200,000 บาท สำหรับหน่วยลงทุน SSFX ที่ซื้อภายใน 1 เมษายน – 30 มิถุนายน 2563
- ลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย จาก 3% เหลือ 1.5%
- สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) พร้อมให้สิทธินำดอกเบี้ยไปหักเป็นรายจ่ายได้ 150% สำหรับผู้ประกอบการนิติบุคคล
- รักษาการจ้างแรงงานด้วยสิทธิหักรายจ่ายได้ 300%
- การันตีคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ภายใน 15 วัน ให้ผู้ประกอบการธุรกิจส่งออกที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มดี
พฤษภาคม 2563
สถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนาในประเทศไทยเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น และเดือนนี้เป็นเดือนที่มีการประกาศตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ 0 คนเป็นครั้งแรก
วันที่ 3 พฤษภาคม รัฐบาลเริ่มผ่อนปรนให้บางกิจการสามารถดำเนินการได้ตามปกติ เช่น ร้านตัดผม
วันที่ 14 พฤษภาคม รัฐบาลขายพันธบัตรรัฐบาล ‘เราไม่ทิ้งกัน’ ดอกเบี้ยสูงสุด 4% เป็นวันแรก
ส่วนทางกรมสรรพากร ได้เปิดตัวมาตรการคืนภาษีเงินได้นิติบุคคลผ่านระบบพร้อมเพย์ โดยเริ่มใช้ได้ตั้งแต่ 1 พฤษภาคม 2563 เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้ประกอบการนิติบุคคลลดการเดินทางและการติดต่อระหว่างกัน รวมถึงออกมาตรการขยายเวลายื่นแบบและชำระภาษีต่างๆ ของผู้ประกอบการออกไปอีกเป็นรอบที่สอง
ทั้งหมดนี้คือสรุปมาตรการภาษีสู้โควิด-19 ในประเทศไทย 2563 ทั้งหมดในช่วง 5 เดือนแรก หากมีมาตรการภาษีที่เกี่ยวข้องกับโควิดเพิ่มเติม iTAX จะนำมาสรุปเพิ่มให้เป็นระยะ