พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่ซื้อโฆษณา Facebook Google หรือช่องทางออนไลน์อื่นๆ ของแพลตฟอร์มต่างประเทศ ตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 เมื่อ ยิง ad Facebook โดนเก็บ ภาษี 7% อยู่แล้ว ซึ่งเกี่ยวข้องกับ ภาษี e-Service และเกี่ยวข้องกับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่ซื้อโฆษณา Facebook Google ทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังนั้น เพื่อแก้ปัญหา Facebook เก็บภาษี 7% ของพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ได้อย่างถูกวิธี จึงควรทำความเข้าใจภาษีที่เกี่ยวข้องต่อไปนี้ด้วย
- คู่มือ ภาษีขายของออนไลน์ พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์เสียภาษีอย่างไร?
- วิเคราะห์ค่าภาษีตามยอดขาย 2564 ขายของได้เท่านี้ ต้องจ่ายภาษีเท่าไหร่?
ภาษี e-Service คืออะไร? เกี่ยวข้องกับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่ ยิง ad ซื้อโฆษณา Facebook Google อย่างไร?
ภาษี e-Service คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่เรียกเก็บจากแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างชาติ ซึ่งเป็นมาตรการจัดเก็บภาษีใหม่ที่ประกาศตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2564 (พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 53) พ.ศ. 2564)
แพลตฟอร์มดิจิทัลต่างชาติ คืออะไร?
แพลตฟอร์มดิจิทัลต่างชาติ หมายถึง แพลตฟอร์มของบริษัทต่างชาติให้บริการออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ เช่น
- แพลตฟอร์ม E-Commerce ขายของออนไลน์
- แพลตฟอร์มโฆษณา ยิง Ad เช่น Facebook, Google
- แพลตฟอร์ม Agency จองที่พัก โรงแรม ตั๋วเดินทาง เช่น Booking.com, Agoda
- แพลตฟอร์มตัวกลาง เช่น เรียกรถรับส่ง สั่งอาหาร
- แพลตฟอร์มบริการออนไลน์ เช่น เกม ดูหนัง ฟังเพลง ระบบ Cloud ประชุมออนไลน์ subscription และ digital content อื่นๆ เช่น App Store, Play Store, PlayStation Store, Netflix, YouTube, Spotify, Zoom, Dropbox
เมื่อเก็บภาษี e-Service แล้ว จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?
- ผู้ประกอบการต่างประเทศจะต้องมีต้นทุนที่เท่ากับผู้ประกอบการในประเทศไทย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการแข่งขันกับผู้เล่น
- แพลตฟอร์มดิจิทัลต่างชาติอาจผลักภาระภาษีให้ผู้บริโภคเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด หรือบางส่วน หรืออาจยอมรับภาระไว้เอง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับนโยบายของผู้ประกอบการต่างชาติ
- กรมสรรพากรคาดว่าจะเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากนโยบายภาษี e-Service เพิ่มขึ้นได้ราว 5,000 ล้านบาท
ภาษี e-Service กระทบกับการเก็บภาษีพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์หรือไม่?
ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการเก็บภาษีพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์เลย เพราะนโยบายภาษี e-Service จะเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเฉพาะแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างชาติเท่านั้น
วิธีแก้ปัญหาเมื่อ Facebook, Google เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ในไทยต้องปรับตัวอย่างไรบ้าง?
กรณีเป็นผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่แล้ว
ถ้าเป็นผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในไทยแล้ว ไม่ต้องปรับตัวอะไร ทำเหมือนเดิมทุกอย่าง เนื่องจากแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างชาติจะไม่เรียกเก็บ VAT จากผู้ประกอบการที่แจ้งให้แพลตฟอร์มดิจิทัลต่างชาติทราบว่าได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในไทย
ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วจะนำภาษีมูลค่าเพิ่มไปชำระให้กรมสรรพากรโดยตรงตามปกติ นั่นคือ ยื่น ภ.พ.36 (ซึ่งจะอธิบายต่อไปด้านล่างนี้
กรณีเป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่ยังไม่ได้จด VAT
ถ้าเป็นยังไม่ได้จด VAT ที่จริงก็ไม่ต้องปรับตัวอะไร ยังคงขายของได้ตามปกติ (ไม่มีหน้าที่ต้องยื่น ภ.พ.36) เนื่องจากเป็นภาระของแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างชาติ เพียงแต่บริการบนบางแพลตฟอร์มอาจปรับราคาค่าบริการเพิ่มขึ้นเพื่อให้ราคาสะท้อนต้นทุนค่าภาษีที่ถูกเรียกเก็บด้วย เช่น ค่าโฆษณา Facebook Google จะมีการเรียกเก็บ VAT เพิ่มเติมอีก 7% ของค่าโฆษณา ทำให้ต้นทุนค่าโฆษณาแพงขึ้น
ซื้อโฆษณาบน Facebook, Google บันทึกเป็นค่าใช้จ่ายได้หรือไม่?
ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการซื้อโฆษณาบนช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Google, Youtube, Instagram จะสามารถนำมาบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายในการทำธุรกิจได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่า คุณประกอบธุรกิจแบบไหน เนื่องจากธุรกิจแต่ละรูปแบบย่อมมีเงื่อนไขในการบันทึกค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน
1. ทำธุรกิจในนามบุคคลธรรมดา
ในกรณีที่คุณทำธุรกิจในรูปแบบบุคคลธรรมดา เราอาจจะต้องไปดูอีกว่า คุณเลือกให้การหักค่าใช้จ่ายของธุรกิจไว้เป็นแบบไหน เพราะการหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา กับ การหักค่าใช้จ่ายตามจริงมีเงื่อนไขที่แตกต่างกัน
1.1 หักค่าใช้จ่ายแบบเหมา เนื่องจากกฎหมายถือว่า ค่าใช้จ่ายในการทำธุรกิจถูกรวมอยู่ในค่าใช้จ่ายที่ถูกหักเหมาไปแล้วทั้งหมด จึงเป็นเหตุให้คุณไม่สามารถนำค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการซื้อโฆษณามาหักค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมได้อีก
1.2 หักค่าใช้จ่ายตามจริง ในกรณีนี้คุณสามารถนำค่าโฆษณาที่จ่ายไปมาหักค่าใช้จ่ายได้ แต่มีข้อแม้ว่า จะต้องเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับธุรกิจจริงๆ และคุณจะต้องมีหลักฐานการจ่ายเงินที่ชัดเจน ต้องระบุได้ว่าค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นตอนไหน? เป็นจำนวนเงินเท่าไหร่? รวมถึง ชื่อผู้ซื้อโฆษณาจะต้องเป็นชื่อตัวคุณเองด้วยเช่นกัน
2. ทำธุรกิจในนามนิติบุคคล
หากคุณทำธุรกิจในรูปแบบของนิติบุคคล มีหลักฐานการจ่ายโฆษณาที่ยืนยันได้ว่า เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพื่อบริษัท และมีการจ่ายเกิดขึ้นจริง หรือเป็นการจ่ายในนามบริษัท (จ่ายผ่านบัตรเครดิตบริษัท) ก็ไม่มีอะไรต้องกังวลใจ เพราะคุณสามารถนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อโฆษณาไปหักลดหย่อนได้เลย
แต่ในกรณีที่การจ่ายค่าโฆษณานั้น เป็นการจ่ายเพื่อบริษัทแต่ไม่ได้ถูกจ่ายผ่านบัตรเครดิตในนามบริษัทก็ไม่ต้องเป็นกังวลไป เพราะหากใบเสร็จรับเงินที่คุณได้รับ เป็นใบเสร็จรับเงินที่ออกในนามบริษัท คุณก็สามารถนำค่าใช้จ่ายส่วนนี้มาหักค่าใช้จ่ายได้ตามปกติ
อย่าลืมเช็กว่า บริษัทที่เราซื้อโฆษณา อยู่ในประเทศไทยหรือต่างประเทศ
ก่อนจะทำการขอคืนภาษีซื้อ หรือ นำค่าโฆษณามาหักค่าใช้จ่าย คุณจะต้องรู้ก่อนว่า บริษัทที่คุณไปฝากโฆษณาออนไลน์นั้น เป็นบริษัทในประเทศไทย หรือ ต่างประเทศ เพราะหากบริษัทโฆษณาในไทย คุณสามารถเตรียม ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ และทำการยื่นขอคืนภาษีได้ตามปกติ แต่การซื้อโฆษณาจากบริษัทต่างประเทศไม่ง่ายแบบนั้น
เนื่องจาก คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 104/2544 ว่าด้วย การเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการให้บริการที่กระทำในต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักรตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดให้ผู้ว่าจ้างหรือผู้ที่จ่ายเงินซื้อโฆษณาจะต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบภาษีมูลค่าเพิ่มแทนผู้ให้บริการในต่างประเทศ และจะต้องทำการยื่น ภ.พ. 36 ภายใน 7 วันนับตั้งแต่สิ้นเดือนที่มีการจ่ายค่าโฆษณา
นั่นหมายความว่า หากคุณทำการซื้อโฆษณาออนไลน์จากบริษัทต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น google, facebook, youtube, Instagram คุณจะต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มแทนบริษัทโฆษณานั้นๆ ด้วย (ถูกเรียกเก็บ ภาษี เมื่อ ยิง Ad เพราะเป็นค่าบริการ)
ซึ่งตามปกติแล้วเงินที่คุณจ่ายให้กับบริษัทที่อยู่ต่างประเทศนั้นเป็นเพียงค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการให้บริการ ยังไม่ถูกนับรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และในเมื่อคุณจะต้องทำการจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มแทนบริษัทโฆษณาเหล่านั้น คุณจะต้องทำการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย
คำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ได้ง่ายๆ โดยนำ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น × 7% = ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องจ่าย
มาถึงตรงนี้อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่า คุณจะต้องเป็นฝ่ายแบกรับภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ฝ่ายเดียว เพราะหลังจากที่คุณจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มเรียบร้อยแล้ว คุณจะได้รับใบเสร็จจากกรมสรรพากร และสามารถนำใบเสร็จที่ได้รับมาทำเรื่องขอคืนภาษีซื้อได้ในเดือนถัดไป>
เงื่อนไขการขอคืนภาษีซื้อจากการจ่ายค่าโฆษณา (ยิง ad) ให้ Facebook / Google
- จะต้องเป็นค่าโฆษณาหรือค่าใช้จ่ายของบริษัทเท่านั้น ค่าใช้จ่ายส่วนตัวจะไม่สามารถทำการขอคืนภาษีซื้อได้
- จะต้องมี ใบเสร็จรับเงิน หรือหลักฐานการจ่ายเงิน เช่น Statement บัตรเครดิต (ในกรณีนี้หากจ่ายค่าโฆษณาด้วยบัตรเครดิตของบริษัทจะสะดวกมาก)
- นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% แทน Facebook / Google โดยการยื่นแบบ ภ.พ. 36 (ดาวน์โหลด ภ.พ. 36 ได้ที่ rd.go.th)
- นำใบเสร็จรับเงินที่ได้จากการกรมสรรพากร ไปทำเรื่องขอคืนภาษีซื้อได้ในเดือนถัดไป
วิธียื่น ภ.พ.36 และวิธีกรอกแบบนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ภ.พ. 36
การกรอกแบบฟอร์มนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ. 36) จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
1. ข้อมูลของผู้นำส่งภาษี (กิจการของเรา) ได้แก่
- เลขประจำตัวผู้เสียภาษี 13 หลัก
- ชื่อผู้นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม
- ที่อยู่
2. การจ่ายเงินซื้อสินค้าหรือบริการ ได้แก่
- ชื่อผู้ประกอบการที่เป็นผู้รับเงิน
- ที่อยู่ หรือ ที่ตั้งบริษัทที่เป็นผู้รับเงิน
- จ่ายเงินชำระราคาสำหรับอะไร
ตัวอย่าง
ถ้าคุณซื้อโฆษณาผ่าน Facebook ก็จะต้องระบุชื่อผู้ประกอบการที่เป็นผู้รับเงินว่า Facebook Ireland Limited ที่อยู่ 4 Grand Canal Square, Grand Canel Harbour, Dublin 2, Ireland เป็นต้น โดยระบุเป็นค่าโฆษณา
3. การคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม
- จำนวนเงินที่จ่าย
- จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อนำส่ง (ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น x 7% = ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องจ่าย)
- จำนวนค่าปรับและเงินเพิ่ม ในกรณีที่นำส่งภาษีเกินเวลา หรือ จ่ายไม่ถูกต้อง (ถ้ามี)
ตัวอย่าง
ถ้าคุณซื้อโฆษณาผ่าน Facebook เป็นเงิน 10,000 บาท ก็ให้ระบุจำนวนเงินที่จ่าย 10,000 บาท และจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่ม 700 บาท (7% ของค่าโฆษณา 10,000 บาท)
ทั้งนี้ หากคุณทำการซื้อโฆษณาผ่านบริษัทต่างประเทศ และไม่นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ ไม่ยื่นแบบฟอร์มนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ. 36) ให้เรียบร้อย คุณจะต้องจ่ายค่าปรับและเงินเพิ่มเช่นเดียวกับการไม่ยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มในกรณีอื่นๆ
แต่หากคุณทำการยื่นแบบฟอร์มนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ. 36) และชำระให้เรียบร้อย นอกจากธุรกิจของคุณจะไม่เสี่ยงต่อการโดนตรวจสอบย้อนหลังแล้ว คุณจะยังได้รับเงินคืนจากภาษีซื้อหรือภาษีมูลค่าเพิ่มที่จ่ายไปอีกด้วย
อย่างไรก็ดี หลายคนเข้าใจผิดว่าหากไม่ได้ยื่น ภ.พ. 36 จะไม่สามารถหักค่าใช้จ่ายจากค่าโฆษณาได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดที่ไม่ถูกต้อง เพราะ การนำค่าโฆษณาไปหักเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการนั้นเป็นเรื่องภาษีเงินได้ หากรายจ่ายนั้นเกิดขึ้นตามจำเป็นและสมควรกับกิจการ และตรวจสอบหลักฐานการจ่ายเงินจริงได้ ย่อมสามารถหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ ส่วนการไม่ยื่น ภ.พ. 36 เป็นเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นคนละส่วนกัน จึงไม่ทำให้สิทธิในการนำค่าโฆษณามาหักเป็นค่าใช้จ่ายสูญเสียไปแต่อย่างใด
หากคุณต้องการจดทะเบียนบริษัท หรือ ต้องการใช้บริการนักบัญชีมืออาชีพ คุณสามารถเลือกใช้บริการนักบัญชีจาก iTAX sme ได้ เรากล้ารับรองว่า นักบัญชีของเราจะช่วยให้คุณปวดหัวกับการจัดการภาษีน้อยลง และมีเวลาสำหรับวางแผนธุรกิจเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน สอบถามค่าบริการ โทร. 062-486-9787