ประเทศไทยพูดถึงการลดภาษีที่เกี่ยวข้องกับสินค้าสตรีให้ ผ้าอนามัยไม่มีภาษี เหมือนกับสินค้าอุปโภคบริโภคที่เกี่ยวข้องกับความจำเป็นขั้นพื้นฐานอื่นๆ เช่น ยารักษาโรค เป็นต้น เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสินค้าเหล่านี้ได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุด มาดูกันว่าแต่ละประเทศมีนโยบายเกี่ยวกับภาษีผ้าอนามัย (Tampon Tax) อย่างไรกันบ้าง
เคนยา
- ประเทศเคนยา ถือเป็นประเทศแรกของโลกที่ยกเลิกภาษีการบริโภคสำหรับผ้าอนามัย โดยยกเลิกภาษีไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547
สหรัฐอเมริกา
- 5 มลรัฐไม่เก็บภาษีการบริโภคอยู่แล้ว จึงไม่ได้รับผลกระทบ ได้แก่
- อลาสก้า
- เดลาแวร์
- มอนเทนา
- นิวแฮมเชียร์ และ
- ออเรกอน
- ในขณะที่ 13 รัฐที่เก็บภาษีการบริโภคได้ประกาศยกเลิกภาษีการบริโภคสำหรับผ้าอนามัย ได้แก่
-
- โอไฮโอ
- แคลิฟอร์เนีย
- คอนเน็คติคัต
- ฟลอริด้า
- อิลลินอยส์
- แมรี่แลนด์
- แมสซาชูเซตส์
- มินเนสโซตา
- นิวเจอร์ซี่
- นิวยอร์ค
- เนวาดา
- เพนซิลวาเนีย และ
- โร้ด ไอแลนด์
-
แคนาดา
- ยกเลิกภาษีการบริโภค 10% สำหรับผ้าอนามัย เมื่อปี พ.ศ. 2558
เยอรมัน
- ลดภาษีการบริโภคจาก 19% ซึ่งเป็นอัตราภาษีสำหรับสินค้าฟุ่มเฟือย เหลือ 7% ซึ่งเป็นอัตราภาษีสำหรับสินค้าในชีวิตประจำวันทั่วไป เมื่อถึงวันที่ 1 ม.ค. 2563
ออสเตรเลีย
- ยกเลิกภาษีการบริโภค 10% สำหรับผ้าอนามัย เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2562
อินเดีย
- ยกเลิกภาษีการบริโภค 12% สำหรับผ้าอนามัย เมื่อปี 2561
อย่างไรก็ดี ในหลายประเทศก็ยังไม่มีการยกเลิกภาษีและรัฐบาลก็ยังไม่มีการพูดถึงก็มี เช่น สหราชอาณาจักร หากจะมีการยกเลิกภาษีผ้าอนามัยก็น่าจะต้องรอถึงวันที่ 1 มกราคม 2565 เป็นอย่างเร็ว หรือในประเทศไทยยังมีการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ (แต่ไม่เก็บภาษีสรรพาสามิตในลักษณะสินค้าฟุ่มเฟือย) สำหรับประเด็นภาษีผ้าอนามัยมีการพูดถึงกันเฉพาะใน Social Media เท่านั้น ยังไม่มีหน่วยงานราชการหรือรัฐบาลพูดถึงประเด็นการยกเลิกภาษีมูลค่าเพิ่มแต่อย่างใด
ข้อมูลจาก
Wikipedia: en.wikipedia.org
BBC: www.bbc.com