ดาราถูกหักภาษี 3% หรือ 5% แบบไหนดีกว่า?

ทั่วไป

เคยได้ยินเวลาที่ดารารับเงินจากคนจ้าง บางครั้งคนจ้างก็จะถามว่าจะให้ หักภาษี ณ ที่จ่าย 3% หรือ 5% ดีนะ? ถ้าเราฟังเร็วๆ อาจจะรู้สึกว่าถูกหักแค่ 3% ย่อมดีกว่าถูกหัก 5% สิ เวลารับเช็คจะได้ตัวเลขเยอะขึ้นเพราะถูกหักภาษีน้อยกว่า แต่ว่าวิธีคิดแบบนี้ดีกว่าจริงๆ มั้ยเราไปดูกัน

1. ประเภทของเงินได้ที่ได้รับมีผลกับการวางแผนภาษี

โดยปกติดาราจะได้รับรายได้อยู่ 2 แบบหลักๆ คือ ค่าตัวนักแสดงสาธารณะ 40(8) หรือไม่ก็ ค่าจ้างทั่วไป 40(2)

  • กรณีเป็นค่าตัวนักแสดงสาธารณะ 40(8)

จะสามารถหัก ค่าใช้จ่าย ได้ 2 ขั้นคือ ค่าตัว ฿300,000 แรกจะหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 60% และค่าตัวส่วนเกิน ฿300,000 จะหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 40% แต่จะหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้สูงสุดไม่เกิน ฿600,000

ดังนั้น ถ้าค่าจ้างส่วนนี้ตลอดทั้งปีเกิน ฿1,350,000 เมื่อไหร่ คุณจะหมดสิทธิ์หักค่าใช้จ่ายเพิ่มเพราะเต็มเพดานไปแล้ว แต่ถ้ามีค่าใช้จ่ายตามจริงมากกว่านั้นจะเลือกหักค่าใช้จ่ายตามจริงก็ได้ (แต่ต้องเก็บหลักฐานค่าใช้จ่ายด้วย)

  • กรณีเป็นค่าจ้างทั่วไป 40(2)

จะสามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาสูงสุด 50% แต่ไม่เกิน ฿100,000 (เมื่อรวมกับการหักค่าใช้จ่ายของ เงินเดือน 40(1) แล้ว)

ดังนั้น ถ้าค่าจ้างส่วนนี้ (รวมเงินเดือน) ตลอดทั้งปีเกิน ฿200,000 เมื่อไหร่ คุณจะไม่สามารถใช้สิทธิ์หักค่าใช้จ่ายได้อีก เพราะใช้สิทธิ์เต็มเพดานไปแล้ว และไม่สามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายตามจริงได้

จากการเปรียบเทียบข้างต้น จะเห็นได้ว่า ถ้าเลือกให้ค่าตัวของเราเป็นค่าตัวนักแสดงสาธารณะ 40(8) จะช่วยให้ประหยัดภาษีมากกว่า

2. อัตราภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายมีผลต่อการกำหนดประเภทของเงินได้

ต้องเข้าใจก่อนว่าค่าจ้างที่ถูกหักภาษี 5% จะถูกบันทึกว่าเป็นค่าตัวนักแสดงสาธารณะ 40(8) ในขณะที่ค่าจ้างที่ถูกหักภาษี 3% จะถูกบันทึกว่าเป็นค่าจ้างทั่วไป 40(2) ซึ่งข้อมูลเหล่านี้คนจ่ายเงินจะต้องบันทึกไว้แล้วนำไปส่งกรมสรรพากร

ดังนั้น ถ้าคุณถูกหัก ณ ที่จ่ายไป 3% แล้ว ตอนยื่นภาษีจะแจ้งว่าเป็นค่าตัวนักแสดงสาธารณะ 40(8) (ที่ควรจะถูกหักภาษี 5%) คุณอาจจะถูกโต้แย้งได้ เพราะต้นขั้วไม่ได้บันทึกไว้แบบนั้น ทำให้ดาราหลายๆ คนวางแผนภาษีลำบากตอนยื่นภาษี เพราะกรมสรรพากรเข้าใจว่าเป็นค่าจ้างทั่วไป 40(2) มาตั้งแต่แรกไปแล้ว

3. คนจ้างจะหักภาษีเรา 3% หรือ 5% ไม่มีผลกับเขาเท่าไหร่เลย

เพราะไม่ว่าจะเลือกหักภาษีแบบไหน คนจ่ายเงินให้ดาราก็สามารถนำไปหักเป็นรายจ่ายของเขาได้เต็มจำนวนอยู่แล้ว เขาจะหักภาษี ณ ที่จ่าย 3% หรือ 5% ก็ไม่มีผลกับเขา แต่มีผลกับดารามากพอสมควร

สรุป

พอเห็นความแตกต่างแล้วว่าถ้าเลือกให้ค่าตัวของเราเป็นค่าตัวนักแสดงสาธารณะ 40(8) จะช่วยให้ประหยัดภาษีมากกว่า ดังนั้น เวลาดารารับเงินค่าจ้างครั้งต่อไป จะเลือกให้หักภาษี ณ ที่จ่าย 3% หรือ 5% ดีก็วางแผนภาษีกันดีๆ นะครับ

app icon
iTAX คำนวณและวางแผนภาษี
star star star star star
(100K+)