คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ e-Tax Invoice & e-Receipt และระบบ e-Withholding Tax ถึงสิ้นปี 2566
- เราเที่ยวด้วยกันเฟส 5 ผ่านครม. แล้ว เริ่ม ก.พ. – ก.ย. 2566
- ลงทะเบียนบัตรประชาชนดิจิทัล ผ่าน D.DOPA ไม่ต้องไปเขต-อำเภอ
24 มกราคม 2566 – นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า “คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ จํานวน 2 มาตรการ เพื่อให้ ภาคเอกชนใช้ระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt และระบบ e-Withholding Tax อย่างแพร่หลายในการทํา ธุรกรรมระหว่างกันและการทําธุรกรรมกับภาครัฐ อันจะส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลและการแปลงเป็นดิจิทัล (Digital Transformation) ของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน”
นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากรตระหนักถึงความสำคัญของการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีและการให้บริการผู้เสียภาษี รวมถึง การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยภาษีเงินได้ ขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการใช้ระบบภาษีหัก ณ ที่จ่ายอิเล็กทรอนิกส์ (e-Withholding Tax) ดังนี้
- มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ให้บริษัทหรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหักรายจ่ายการลงทุนในระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt และระบบ e-Withholding Tax รวมถึงหักรายจ่ายค่าบริการระบบดังกล่าวได้ 2 เท่าของรายจ่ายที่จ่ายจริง ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568
- มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการใช้ระบบภาษีหัก ณ ที่จ่ายอิเล็กทรอนิกส์ (e-Withholding Tax) โดยลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายที่มีอัตราร้อยละ 5 อัตราร้อยละ 3 และอัตราร้อยละ 2 เหลืออัตราร้อยละ 1 สำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินผ่านระบบ e-Withholding Tax ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568″
อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “มาตรการดังกล่าวจะเป็นการช่วยภาคเอกชน ในการลดต้นทุนและลดภาระในการจัดทําและการจัดเก็บเอกสาร รวมทั้งการปฏิบัติหน้าที่ทางภาษี ยิ่งไปกว่านั้น ยังช่วยให้ผู้ประกอบการมีกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นในช่วงระยะเวลาดําเนินมาตรการลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ปีละประมาณ 9,800 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นเม็ดเงินทหี่ มุนเวียนเพิ่มมูลค่าให้แก่ระบบเศรษฐกิจของประเทศต่อไป”
หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161